ใบขับขี่ 2

ใบขับขี่หายต้องทำอย่างไร 2568: Update

เมื่อใบขับขี่หาย… อย่าเพิ่งตกใจ! โอ้โห! ใครเคยทำใบขับขี่หายบ้าง ยกมือขึ้นหน่อย! เชื่อว่าหลายคนคงเคยเจอสถานการณ์สุดเซ็งนี้กันใช่ไหมล่ะครับ ไอ้เจ้าบัตรเล็กๆ ที่มีความสำคัญต่อการขับรถของเรานี่แหละ หายทีไรใจหายวาบทุกที เพราะนอกจากจะเป็นเอกสารสำคัญที่แสดงว่าเรามีสิทธิ์ขับขี่ตามกฎหมายแล้ว ถ้าโดนคุณตำรวจเรียกตรวจแล้วไม่มีให้ดูเนี่ย มีหวังโดนค่าปรับเอาง่ายๆ เลยนะครับ แถมบางทีอาจจะโดนหนักกว่านั้นอีกด้วย

ทำความเข้าใจความสำคัญของใบขับขี่

ลองคิดดูสิครับ เวลาที่เราขับรถไปไหนมาไหนเนี่ย ใบขับขี่ก็เหมือนกับเพื่อนซี้ที่ต้องพกติดตัวตลอดเวลา มันไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียว แต่มันคือ “ใบอนุญาต” ที่ทางราชการออกให้ เพื่อยืนยันว่าเรามีความรู้ความสามารถในการขับขี่ยานพาหนะอย่างปลอดภัยบนท้องถนน การมีใบขับขี่จึงเป็นเรื่องของความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมด้วยนะครับ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเราได้ผ่านการทดสอบและมีความเข้าใจในกฎจราจรต่างๆ แล้ว

ผลกระทบทางกฎหมายเมื่อไม่มีใบขับขี่

อย่ามองข้ามเรื่องนี้เด็ดขาดนะครับ! การขับรถโดยไม่มีใบขับขี่ หรือในขณะที่ใบขับขี่หมดอายุเนี่ย ถือว่า “ผิดกฎหมาย” นะครับ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้กำหนดโทษไว้ชัดเจนเลยว่า ผู้ที่ฝ่าฝืนอาจต้องระวางโทษ “ปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท” หรืออาจจะโดนทั้งจำทั้งปรับก็ได้นะครับ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล โอ้โห! ฟังดูน่ากลัวใช่ไหมล่ะครับ ดังนั้น การมีใบขับขี่ที่ถูกต้องตามกฎหมายจึงเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เลย

ขั้นตอนแรกเมื่อรู้ว่าใบขับขี่หาย

เอาล่ะครับ! เกริ่นมาพอสมควรแล้ว ทีนี้มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า ถ้าวันดีคืนดีเรารู้ตัวว่า “เฮ้ย! ใบขับขี่หายไปไหนเนี่ย?” สิ่งแรกที่เราควรทำคืออะไร? ตั้งสติครับ! อย่าเพิ่งโวยวายหรือโทษฟ้าโทษดิน ลองนึกดูดีๆ ก่อนว่าเราวางไว้ตรงไหนล่าสุด อาจจะหล่นหายตามซอกหลืบกระเป๋า หรือลืมไว้ที่ไหนสักแห่งก็ได้ ลองหาดูให้ทั่วๆ ก่อนนะครับ

แจ้งความหรือไม่? ข้อควรรู้ล่าสุดปี 2568

เมื่อก่อนเนี่ย ถ้าเอกสารราชการสำคัญๆ หาย เช่น บัตรประชาชน หรือใบขับขี่ สิ่งแรกที่หลายคนคิดถึงก็คือ “ต้องไปแจ้งความ” ใช่ไหมล่ะครับ? เพราะเราเคยชินกับขั้นตอนที่ว่าต้องมีใบแจ้งความไปยื่นกับหน่วยงานราชการเพื่อขอทำใหม่

กรณีใบขับขี่ส่วนบุคคล

แต่! ข่าวดีสำหรับปี 2568 ก็คือ “ถ้าใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลของเราหาย ไม่จำเป็นต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจแล้วนะครับ!” ฟังไม่ผิดหรอกครับ เราสามารถเดินทางไปติดต่อที่ “กรมการขนส่งทางบก” ได้โดยตรงเลย พร้อมกับเตรียมเอกสารที่จำเป็นต่างๆ ไปยื่นเรื่องขอทำใบขับขี่ใหม่ได้เลยครับ สะดวกสบายขึ้นเยอะเลยใช่ไหมล่ะ?

กรณีใบขับขี่รถสาธารณะ

แต่ก็มีข้อยกเว้นนิดหน่อยนะครับ สำหรับใครที่ทำ “ใบขับขี่รถยนต์สาธารณะ” หาย เช่น ใบขับขี่แท็กซี่ หรือใบขับขี่รถโดยสาร อันนี้ “ยังจำเป็นต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ” ก่อนนะครับ เพื่อนำใบแจ้งความไปเป็นหลักฐานในการยื่นคำร้องขอกับกรมการขนส่งทางบกอีกที อย่าลืมข้อนี้กันด้วยนะครับ!

ขั้นตอนการขอใบขับขี่ใหม่ ปี 2568

เอาล่ะครับ! สำหรับใครที่ทำใบขับขี่ส่วนบุคคลหาย แล้วพร้อมที่จะไปดำเนินการขอใบขับขี่ใหม่แล้ว มาดูกันเลยว่ามีขั้นตอนอะไรบ้างที่เราต้องทำในปี 2568 นี้ ขอบอกเลยว่าสะดวกและง่ายกว่าเดิมเยอะ!

การจองคิวออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue

ในยุคดิจิทัลแบบนี้ อะไรๆ ก็ออนไลน์ไปหมดแล้ว รวมถึงการทำใบขับขี่ใหม่ด้วยครับ กรมการขนส่งทางบกได้พัฒนา “แอปพลิเคชัน DLT Smart Queue” ขึ้นมา เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถ “จองคิวออนไลน์” ได้ล่วงหน้า ไม่ต้องเสียเวลาไปรอคิวนานๆ ที่สำนักงานอีกต่อไป ถือเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าที่ทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นเยอะเลยครับ

ดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชัน

ขั้นตอนแรกก็ง่ายมากๆ ครับ แค่เราเข้าไปที่ “App Store” สำหรับผู้ใช้ iPhone หรือ “Google Play Store” สำหรับผู้ใช้ Android แล้วค้นหาคำว่า “DLT Smart Queue” จากนั้นก็ดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชันลงบนโทรศัพท์มือถือของเราได้เลยครับ ไม่กี่ขั้นตอนก็เรียบร้อย!

ขั้นตอนการล็อกอินและกรอกข้อมูลส่วนตัว

เมื่อติดตั้งแอปพลิเคชันเรียบร้อยแล้ว ก็เปิดแอปขึ้นมา แล้วทำการ “ล็อกอิน” เข้าสู่ระบบครับ สำหรับใครที่ยังไม่เคยใช้งาน ก็ต้องทำการ “สมัครสมาชิก” ก่อน โดยกรอกข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ให้ถูกต้องตามที่ระบบกำหนดไว้ครับ ไม่ว่าจะเป็นชื่อ-นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน และเบอร์โทรศัพท์ เมื่อกรอกข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถเข้าสู่ระบบเพื่อใช้งานได้เลยครับ

การเลือกกรมขนส่งและประเภทงานบริการ

เมื่อล็อกอินเข้าสู่ระบบแล้ว เราจะเห็นหน้าจอหลักของแอปพลิเคชัน ให้เราเลือก “กรมขนส่งทางบก” ที่เราสะดวกจะเดินทางไปติดต่อครับ จากนั้นให้เลือกประเภท “งานใบอนุญาต” ครับ

การเลือกประเภทใบอนุญาตและวันที่/เวลาที่ต้องการจอง

ในส่วนของประเภทใบอนุญาตขับรถ ให้เราเลือก “ใบอนุญาตส่วนบุคคล” แล้วเลือกหัวข้อ “ใบแทนชำรุดหรือสูญหาย” ครับ จากนั้นระบบจะแสดงปฏิทินให้เราเลือก “วันที่” และ “เวลา” ที่เราต้องการจองคิวได้เลยครับ พยายามเลือกวันและเวลาที่เราสะดวกจริงๆ นะครับ จะได้ไม่เสียสิทธิ์ในการจอง

การดำเนินการที่กรมการขนส่งทางบก

เมื่อเราจองคิวออนไลน์เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงวันที่เราต้องเดินทางไปที่กรมการขนส่งทางบกตามวันและเวลาที่เราได้จองไว้ อย่าลืมเผื่อเวลาเดินทางด้วยนะครับ ไปถึงก่อนเวลานัดหมายสักหน่อยก็ดีครับ

การยื่นเอกสารและหลักฐานการจองคิว

เมื่อไปถึงกรมการขนส่งแล้ว ให้เราไปติดต่อที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ หรือตามจุดที่เจ้าหน้าที่แนะนำ แล้ว “ยื่นบัตรประชาชนตัวจริง” หรือ “เอกสารยืนยันตัวตนที่ออกโดยราชการ” พร้อมกับ “หลักฐานการจองคิวผ่านแอปพลิเคชัน” ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบครับ

การเขียนใบคำร้องขอทำใบขับขี่ใหม่

หลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารเบื้องต้นแล้ว เราจะต้อง “เขียนใบคำร้องขอทำใบขับขี่ใหม่” ครับ เจ้าหน้าที่จะเป็นผู้ให้แบบฟอร์มแก่เรา กรอกข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ให้ครบถ้วนและถูกต้องนะครับ หากมีข้อสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามเจ้าหน้าที่ได้เลยครับ

การชำระค่าธรรมเนียม

เมื่อกรอกใบคำร้องเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงขั้นตอนของการ “ชำระค่าธรรมเนียม” ครับ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการทำใบขับขี่ใหม่นี้ไม่ได้แพงอย่างที่คิดเลยครับ

ค่าใช้จ่ายในการทำใบขับขี่ใหม่

สำหรับใครที่สงสัยว่า “ทำใบขับขี่หายเสียเงินเท่าไหร่?” มาดูกันเลยครับว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่เราต้องเตรียมไปจ่ายที่กรมการขนส่ง

รายละเอียดค่าธรรมเนียมต่างๆ

โดยรวมแล้ว ค่าใช้จ่ายในการทำใบขับขี่ใหม่กรณีสูญหายจะอยู่ที่ประมาณ “205 บาท” ครับ ซึ่งจะแบ่งเป็นรายการต่างๆ ดังนี้ครับ

ค่าใบคำร้อง

จะมี “ค่าใบคำร้อง” ฉบับละ “5 บาท” ครับ

ค่าธรรมเนียมใบแทน

สำหรับ “ค่าธรรมเนียมใบแทนกรณีชำรุดหรือสูญหาย” จะอยู่ที่ “100 บาท” ครับ

ค่าบริการทำใบขับขี่ใหม่

และสุดท้าย จะมี “ค่าบริการทำใบขับขี่ใหม่” อีก “100 บาท” ครับ

รวมทั้งหมดก็เป็น 5 + 100 + 100 = 205 บาท นั่นเองครับ เห็นไหมครับว่าค่าใช้จ่ายไม่ได้สูงเลย

อบรมหรือไม่? เมื่อใบขับขี่หายหรือหมดอายุ

อีกหนึ่งคำถามที่หลายคนสงสัยก็คือ “ทำใบขับขี่หายต้องอบรมไหม?” เรื่องนี้ก็มีรายละเอียดที่ต้องทำความเข้าใจกันสักหน่อยครับ

กรณีใบขับขี่หายไม่เกิน 1 ปี

สำหรับกรณีที่ “ใบขับขี่หาย” หรือ “หมดอายุไม่เกิน 1 ปี” เรา “ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการอบรมใหม่” นะครับ สามารถดำเนินการขอใบขับขี่ใหม่ได้เลยตามขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้น

กรณีใบขับขี่หายเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี

แต่ถ้าใบขับขี่ของเรา “หาย” หรือ “หมดอายุเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี” เราจะต้อง “เข้ารับการอบรม” เพิ่มเติมครับ โดยรายละเอียดการอบรมจะแตกต่างกันไปตามประเภทของใบขับขี่ดังนี้ครับ

ใบขับขี่ชนิด 2 ปี

จะต้อง “อบรม 5 ชั่วโมง” และ “สอบข้อเขียน” ใหม่ด้วยครับ

ใบขับขี่ชนิด 5 ปี

จะต้อง “อบรม 2 ชั่วโมง” ครับ

กรณีใบขับขี่หายเกิน 3 ปีขึ้นไป

และถ้าใบขับขี่ของเรา “หาย” หรือ “หมดอายุเกิน 3 ปีขึ้นไป” อันนี้จะต้องมีขั้นตอนที่เพิ่มขึ้นมาอีกครับ

ใบขับขี่ชนิด 2 ปี

จะต้อง “อบรม 5 ชั่วโมง”, “สอบข้อเขียน” ใหม่ และต้อง “ยื่นใบรับรองแพทย์ที่มีอายุไม่เกิน 1 เดือน” ด้วยครับ

ใบขับขี่ชนิด 5 ปี

จะต้อง “อบรม 2 ชั่วโมง” และต้อง “ยื่นใบรับรองแพทย์ที่มีอายุไม่เกิน 1 เดือน” เช่นกันครับ

เห็นไหมครับว่าระยะเวลาที่ใบขับขี่หายหรือหมดอายุก็มีผลต่อขั้นตอนการดำเนินการด้วย ดังนั้น ควรรีบดำเนินการขอใบขับขี่ใหม่ทันทีที่เราทราบว่าหาย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปอบรมและสอบใหม่นะครับ

เอกสารที่ต้องเตรียมเมื่อไปทำใบขับขี่ใหม่

เพื่อให้การดำเนินการขอใบขับขี่ใหม่เป็นไปอย่างราบรื่น เราควรเตรียมเอกสารต่างๆ ให้พร้อมก่อนเดินทางไปที่กรมการขนส่งนะครับ มาดูกันว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง

สำหรับบุคคลทั่วไป

หลักๆ แล้วสิ่งที่เราต้องเตรียมไปก็คือ “บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง” หรือ “เอกสารยืนยันตัวตนที่ออกโดยหน่วยงานราชการที่มีรูปถ่าย” เช่น ใบขับขี่เดิมที่หมดอายุ (ถ้ามี) หรือหนังสือเดินทาง (สำหรับชาวต่างชาติ) ครับ

สำหรับชาวต่างชาติ

สำหรับพี่น้องชาวต่างชาติที่ทำใบขับขี่หาย ก็สามารถใช้ “หนังสือเดินทาง (Passport) ตัวจริง” แทนบัตรประชาชนได้เลยครับ

กรณีใบขับขี่รถสาธารณะหาย

สำหรับผู้ที่ทำ “ใบขับขี่รถยนต์สาธารณะ” หาย อย่าลืมเตรียม “ใบแจ้งความจากสถานีตำรวจ” ไปด้วยนะครับ เพราะจะต้องใช้เป็นหลักฐานในการยื่นคำร้องขอทำใบขับขี่ใหม่

กรณีใบขับขี่หมดอายุ

และสำหรับใครที่ใบขับขี่ “หมดอายุ” ก็ให้เตรียม “บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง” พร้อมกับ “ใบขับขี่เดิมที่หมดอายุแล้ว” ไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ด้วยนะครับ

ทางเลือกเพิ่มเติม: ใบขับขี่ดิจิทัล

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น กรมการขนส่งทางบกก็ได้พัฒนา “ใบขับขี่ดิจิทัล” ขึ้นมา เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้เราสามารถใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้ในกรณีที่เรายังไม่ได้ไปทำใบขับขี่ใหม่ หรือในกรณีที่เราลืมพกใบขับขี่ตัวจริง

แอปพลิเคชัน DLT QR Licence

เราสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “DLT QR Licence” ได้ทั้งบนสมาร์ทโฟนระบบ iOS และ Android ครับ แอปพลิเคชันนี้จะแสดงข้อมูลใบขับขี่ของเราในรูปแบบดิจิทัล พร้อม QR Code ที่เจ้าหน้าที่สามารถสแกนเพื่อตรวจสอบข้อมูลได้

การดาวน์โหลดและใช้งาน

วิธีการดาวน์โหลดก็ง่ายๆ ครับ แค่เข้าไปที่ App Store หรือ Google Play Store แล้วค้นหาคำว่า “DLT QR Licence” จากนั้นก็ดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชัน เมื่อเปิดแอปพลิเคชันขึ้นมา ให้เราทำการลงทะเบียนโดยใช้หมายเลขบัตรประชาชนและข้อมูลอื่นๆ ที่ระบบต้องการ เมื่อลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลใบขับขี่ของเราก็จะปรากฏในแอปพลิเคชัน เราสามารถใช้แอปพลิเคชันนี้แสดงแทนใบขับขี่

เมื่อลงทะเบียนในแอปพลิเคชัน DLT QR Licence เรียบร้อยแล้ว ข้อมูลใบขับขี่ของเราก็จะปรากฏอยู่ในแอปพลิเคชันในรูปแบบดิจิทัล พร้อมกับ QR Code ที่สามารถให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ง่ายๆ ครับ ถือเป็นอีกหนึ่งความสะดวกสบายที่เราสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้

ข้อควรปฏิบัติและคำแนะนำเพิ่มเติม

ถึงแม้ว่าขั้นตอนการทำใบขับขี่ใหม่จะไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด แต่เราก็ควรที่จะใส่ใจและป้องกันไม่ให้ใบขับขี่หายตั้งแต่แรกนะครับ นี่คือข้อควรปฏิบัติและคำแนะนำเพิ่มเติมเล็กๆ น้อยๆ ที่อยากจะฝากไว้ครับ

รีบดำเนินการทันทีเมื่อทราบว่าใบขับขี่หาย

เมื่อเรารู้ตัวว่าใบขับขี่หาย ควรรีบดำเนินการขอใบขับขี่ใหม่ทันทีนะครับ อย่าปล่อยทิ้งไว้นาน เพราะถ้าปล่อยไว้นานเกิน 1 ปี เราอาจจะต้องเสียเวลาไปอบรมและสอบใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เสียเวลาและอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วย

ตรวจสอบวันหมดอายุของใบขับขี่เป็นประจำ

นอกจากเรื่องใบขับขี่หายแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรมองข้ามก็คือ “วันหมดอายุ” ของใบขับขี่ครับ ควรตรวจสอบวันหมดอายุเป็นประจำ และดำเนินการต่ออายุล่วงหน้าก่อนที่ใบขับขี่จะหมดอายุ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการมีใบขับขี่ที่หมดอายุนะครับ

เก็บรักษาใบขับขี่อย่างระมัดระวัง

พยายามเก็บรักษาใบขับขี่ไว้ในที่ที่ปลอดภัยและเป็นระเบียบ อาจจะเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ ช่องเก็บเอกสารในรถ หรือในที่ที่เรามั่นใจว่าจะไม่ทำหายง่ายๆ การมีซองใส่ใบขับขี่ก็จะช่วยป้องกันความเสียหายและช่วยให้หาได้ง่ายขึ้นด้วยครับ

สรุป

ใบขับขี่หาย… ไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป!

เห็นไหมล่ะครับว่าถึงแม้ใบขับขี่จะหาย ก็ไม่ต้องตกใจจนเกินไป เพราะในปี 2568 นี้ ขั้นตอนการขอใบขับขี่ใหม่นั้นสะดวกและง่ายขึ้นเยอะเลยครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลที่ไม่จำเป็นต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจแล้ว เพียงแค่เราจองคิวออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue เตรียมเอกสารให้พร้อม แล้วเดินทางไปดำเนินการตามขั้นตอนที่กรมการขนส่งทางบก เพียงเท่านี้เราก็จะได้ใบขับขี่ใหม่กลับมาใช้งานได้แล้วครับ

ขั้นตอนง่ายๆ ที่คุณทำได้ด้วยตัวเอง

จำไว้เลยนะครับว่าถ้าใบขับขี่หาย สิ่งแรกคือตั้งสติ จากนั้นก็ดำเนินการตามขั้นตอนที่เราได้แนะนำไป ไม่ว่าจะเป็นการจองคิวออนไลน์ การเตรียมเอกสาร และการไปติดต่อที่กรมการขนส่งทางบก เพียงเท่านี้ปัญหาใบขับขี่หายก็จะคลี่คลายไปได้ด้วยดีครับ ขับรถอย่างปลอดภัยและอย่าลืมดูแลใบขับขี่ของเราให้ดีนะครับ!

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับใบขับขี่หาย

  1. ใบขับขี่หายต้องแจ้งความไหมในปี 2568? สำหรับใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลที่หาย ไม่จำเป็นต้องแจ้งความแล้วครับ สามารถติดต่อกรมการขนส่งทางบกเพื่อดำเนินการขอใบขับขี่ใหม่ได้เลย แต่สำหรับใบขับขี่รถยนต์สาธารณะยังคงต้องแจ้งความก่อนครับ

  2. ถ้าใบขับขี่หาย สามารถจองคิวออนไลน์ได้เลยใช่ไหม? ใช่ครับ สามารถจองคิวออนไลน์เพื่อทำใบขับขี่ใหม่ได้ผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue ซึ่งจะช่วยให้คุณสะดวกและประหยัดเวลาในการรอคิวที่สำนักงานขนส่งครับ

  3. ค่าใช้จ่ายในการทำใบขับขี่ใหม่ประมาณเท่าไหร่? ค่าใช้จ่ายโดยรวมในการทำใบขับขี่ใหม่กรณีสูญหายจะอยู่ที่ประมาณ 205 บาท ซึ่งรวมค่าคำร้อง ค่าธรรมเนียมใบแทน และค่าบริการทำใบขับขี่ใหม่ครับ

  4. ใบขับขี่หายแล้วต้องอบรมใหม่ทุกคนเลยหรือเปล่า? ไม่ครับ ถ้าใบขับขี่หายหรือหมดอายุไม่เกิน 1 ปี ไม่จำเป็นต้องอบรมใหม่ แต่ถ้าเกิน 1 ปี จะต้องเข้ารับการอบรมตามประเภทของใบขับขี่และระยะเวลาที่ขาดต่อครับ

  5. มีวิธีใช้ใบขับขี่ชั่วคราวในระหว่างที่ยังไม่ได้ทำใบขับขี่ใหม่ไหม? ปัจจุบันมีใบขับขี่ดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชัน DLT QR Licence ที่สามารถใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้ในกรณีที่ยังไม่ได้ทำใบขับขี่ใหม่ หรือลืมพกใบขับขี่ตัวจริงครับ สามารถดาวน์โหลดและลงทะเบียนใช้งานได้เลยครับ

ขอบคุณที่มา

https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2091997

https://www.pptvhd36.com/news/

*** ข้อมูลในบทความนี้อาจไม่เป็นปัจจุบัน หรือมีความคลาดเคลื่อนได้ โปรดตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมกับแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อความถูกต้อง***

 

ทำไมต้องเลือก First Choice Translation ในการแปลภาษา แปลเอกสาร แปลใบขับขี่?

การเลือกผู้ให้บริการแปลภาษาเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเอกสารสำคัญอย่างใบขับขี่และเอกสารทางราชการอื่นๆ First Choice Translation โดดเด่นด้วยเหตุผลสำคัญดังนี้:

  • ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์: เรามีทีมงานนักแปลภาษาที่มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายภาษา และมีประสบการณ์ในการแปลเอกสารประเภทต่างๆ โดยเฉพาะเอกสารราชการ เช่น ใบขับขี่, บัตรประชาชน, ทะเบียนบ้าน, และเอกสารรับรองต่างๆ ทำให้มั่นใจได้ในความถูกต้องของเนื้อหาและรูปแบบ
  • นักแปลเจ้าของภาษา (Native Speakers): เพื่อให้การแปลมีความเป็นธรรมชาติและสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรามีนักแปลที่เป็นเจ้าของภาษาในแต่ละภาษาเป้าหมาย ทำให้มั่นใจได้ว่าสำนวนภาษาถูกต้องตามบริบทและวัฒนธรรม
  • ความถูกต้องและแม่นยำ: เราให้ความสำคัญสูงสุดกับความถูกต้องและความแม่นยำของการแปล โดยเฉพาะเอกสารสำคัญที่ต้องนำไปใช้ติดต่อกับหน่วยงานราชการ ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการต่างๆ ได้
  • การรับรองคำแปล: สำหรับเอกสารที่ต้องการการรับรองคำแปลเพื่อนำไปยื่นต่อหน่วยงานราชการ เรามีบริการรับรองคำแปลโดยนักแปลผู้ได้รับอนุญาต ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าเอกสารแปลของเราเป็นที่ยอมรับ
  • ความเข้าใจในข้อกำหนดของหน่วยงานราชการ: ทีมงานของเรามีความเข้าใจในข้อกำหนดและรูปแบบการแปลเอกสารที่หน่วยงานราชการต่างๆ ต้องการ โดยเฉพาะการแปลใบขับขี่ ซึ่งอาจมีรายละเอียดเฉพาะเจาะจง
  • การรักษาความลับและความปลอดภัยของข้อมูล: เราให้ความสำคัญกับการรักษาความลับของข้อมูลลูกค้าเป็นอย่างยิ่ง เอกสารของคุณจะได้รับการจัดการด้วยความระมัดระวังและปลอดภัยสูงสุด
  • ความรวดเร็วและตรงต่อเวลา: เราเข้าใจดีว่าเวลาเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องการเอกสารแปลอย่างเร่งด่วน เรามุ่งมั่นที่จะส่งมอบงานแปลที่มีคุณภาพภายในระยะเวลาที่ตกลงกันไว้
  • ราคาที่สมเหตุสมผลและคุ้มค่า: เราเสนอบริการแปลภาษาที่มีคุณภาพในราคาที่ยุติธรรมและคุ้มค่ากับความเชี่ยวชาญและคุณภาพของงานที่คุณจะได้รับ
  • บริการที่ครอบคลุม: นอกจากการแปลใบขับขี่แล้ว เรายังมีบริการแปลเอกสารประเภทอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเอกสารธุรกิจ, เอกสารกฎหมาย, เอกสารทางการแพทย์, และอื่นๆ ทำให้คุณสามารถใช้บริการของเราได้อย่างครบวงจร
  • การบริการลูกค้าที่เป็นเลิศ: เราให้ความสำคัญกับการบริการลูกค้าที่ดี พร้อมให้คำปรึกษาและตอบคำถามของคุณอย่างรวดเร็วและเป็นกันเอง เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการใช้บริการของเรา
  • เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัย: เรานำเทคโนโลยีและเครื่องมือการแปลที่ทันสมัยมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสม่ำเสมอของงานแปล
  • การตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด: ทุกงานแปลจะผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพอย่างละเอียดโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มั่นใจว่างานแปลถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ สำนวน และบริบท
  • ความยืดหยุ่นในการให้บริการ: เราเข้าใจว่าลูกค้าแต่ละรายมีความต้องการที่แตกต่างกัน เราจึงมีความยืดหยุ่นในการปรับบริการให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของคุณ
  • ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ: เรามีชื่อเสียงที่ดีและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าจำนวนมากในการให้บริการแปลภาษาและเอกสารต่างๆ

สรุป:

การเลือก First Choice Translation คือการเลือกผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ เข้าใจในความสำคัญของเอกสารของคุณ และพร้อมมอบงานแปลที่มีคุณภาพ ถูกต้อง แม่นยำ พร้อมบริการที่เป็นเลิศ เพื่อให้คุณมั่นใจและหมดกังวลในการนำเอกสารไปใช้งาน

หากคุณกำลังมองหาบริการแปลภาษา แปลเอกสาร หรือแปลใบขับขี่ที่น่าเชื่อถือและมีคุณภาพ First Choice Translation คือตัวเลือกที่ดีที่สุดของคุณอย่างแน่นอน!

ติดต่อศูนย์แปลเอกสารเฟิสท์ชอยซ์ทรานสเลชัน

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือขอรับบริการกับศูนย์แปลเอกสาร เฟิสท์ชอยซ์ทรานสเลชันได้แล้ววันนี้ที่
LINE OFFICIAL ACCOUNT: https://page.line.me/fc2009?openQrModal=true หรือ

สำนักงานใหญ่ สะพานควาย จตุจักร

อาคารภูมิเดชา ชั้น 4 ซอยประดิพัทธ์ 10 ถ.ประดิพัทธ์ เเขวง/เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร 10400
โทร. 082-3256236 , 065-3958392
https://goo.gl/maps/zUrGGGGWSrtMvjDa7

ศูนย์แปลเอกสารสาขาภูเก็ต ถ.ปฏิพัทธ์ เมืองภูเก็ต

เลขที่ 7/4 ถ.ปฏิพัทธ์ ต.ตลาตเหนือ อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต 83000
โทร. 086-3669255 
https://goo.gl/maps/s21JAisaAnRPvxtHA